“มาซูม่า” รุกหนัก เครื่องทำน้ำอุ่นโค้งท้าย ดันรายได้โต 5 %
“มาซูม่า” มั่นใจตลาดสินค้าระบบน้ำยังแกร่งทั้งเครื่องกรอง-น้ำอุ่น หลังรายได้ 8 เดือนยังโต 5% ลุยรักษาการเติบโตต่อเนื่อง มุ่งโฟกัสน้ำอุ่นรับดีมานด์โค้งท้าย เตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่ช่วงไตรมาส 4 ชูดีไซน์หรูปลอดภัย ตอบโจทย์ลูกค้าระดับกลาง พร้อมเพิ่มกำลังผลิต 10% รับเป้าเติบโต ด้านเครื่องฟอกเน้นรุ่นพกพา ก่อนเพิ่มไลน์อัพสินค้าสมาร์ทกลางปี 2564 มั่นใจรายได้ปีนี้เติบโต 5%
นายศรัล ดุรงค์เดช กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาซูม่า (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องกรองน้ำ ปั๊มน้ำ และเครื่องทำน้ำอุ่นแบรนด์ “มาซูม่า” “บีทีดับบลิว” และอื่น ๆ ฉายภาพ ตลาดผลิตภัณฑ์ระบบน้ำ และทิศทางบริษัทกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบัน ตลาดผลิตภัณฑ์ระบบน้ำ อาทิ เครื่องกรอง น้ำ ปั๊มน้ำ และเครื่องทำน้ำอุ่น ยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพ โดยแม้จะไม่เติบโตหวือหวา แต่เนื่องจากเป็นสินค้าพื้นฐานที่ครัวเรือนส่วนใหญ่ต้องใช้ จึงสามารถขยายตัวต่อเนื่องตามจำนวนประชากร และที่อยู่อาศัย เฉลี่ยประมาณ 3% ต่อปี ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร
สอดคล้องกับรายได้ของบริษัทในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา เติบโต 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และทั้งปีมีโอกาสเติบโตถึง 15% สูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติที่เติบโต 8-10% ต่อปี ด้วยเม็ดเงินจากกลุ่มเครื่องกรองน้ำ เครื่องทำน้ำอุ่น และเครื่องฟอกอากาศ เชื่อว่าเป็นเพราะปีนี้ผู้บริโภคอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้ต้องใช้ สินค้าเหล่านี้มากตามไปด้วย ขณะเดียวกันปัญหาเศรษฐกิจกำลังซื้อทำให้ประเด็นด้านความเชื่อมั่น และบริการหลังการขาย มีน้ำหนักต่อการตัดสินใจ มากขึ้น เช่นเดียวกับผู้ประกอบการอาคารที่พัก สำนักงาน และโรงแรมที่หันมาสนใจความสะอาดของน้ำในอาคารมากขึ้น หลังจากการระบาดของโควิด-19 เป็นอีกหนึ่งโอกาสทางธุรกิจ
สำหรับทิศทางบริษัท นายศรัลอธิบายว่า เพื่อรักษาโมเมนตัมการเติบโตให้ต่อเนื่อง ในช่วงโค้งท้ายนี้จะเน้นทำตลาดสินค้าซีซั่นนอลของช่วงฤดูหนาวอย่างเครื่องทำน้ำอุ่น พร้อมกันนี้ยังเดินหน้าอัพเกรดโพซิชั่นของแบรนด์ จากเดิมที่โฟกัสด้านสินค้าระบบน้ำ เป็นสินค้าเกี่ยวกับ ที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร เริ่มด้วยการเปลี่ยนสโลแกนของแบรนด์จาก “สมาร์ท วอเตอร์โซลูชั่น” เป็น “สมาร์ทลิฟวิ่งโซลูชั่น”
ในส่วนของเครื่องทำน้ำอุ่นนั้น คาดว่า ตลาดปีนี้จะเติบโตประมาณ 2-3% ต่ำกว่า ปกติเล็กน้อย เพราะภาคอสังหาฯยังชะลอตัว โดยกลุ่มราคาระดับแมสนั้นมีการแข่งขันสูง หลังจากแบรนด์จีนรุกเข้ามาจำนวนมาก สำหรับบริษัทโฟกัสกลุ่มกลางด้วยแบรนด์มาซูม่า และระดับบนด้วยแบรนด์อาริสตัน โดยเตรียมเปิดตัวเครื่องทำน้ำอุ่นรุ่นใหม่ในแบรนด์ “มาซูม่า” อีกจำนวนหนึ่งในช่วงไตรมาส 4 เน้นจุดเด่นด้านดีไซน์สำหรับบ้านสไตล์ โมเดิร์น และระบบความปลอดภัยที่สูงขึ้นมาจากรุ่นเก่า เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคระดับกลางที่สนใจเรื่องดีไซน์และความปลอดภัยเป็นหลัก
พร้อมระดมทำการตลาดในทุก ช่องทาง รวมถึงไลฟ์สด เน้นย้ำเรื่องความเชื่อมั่นจากบริการหลังการขาย และการรับประกันหม้อต้ม 5 ปี ร่วมกับจุดขายของสินค้า และจับมือช่องทางจำหน่าย อาทิ โฮมโปร, เจดีเซ็นทรัล และอื่น ๆ จัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายเช่นเดียวกับปีที่ผ่าน ๆ มา
ขณะเดียวกันจับตาปัจจัยต่าง ๆ เช่น สภาพอากาศอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับแผนให้สอดคล้องกับดีมานด์ เบื้องต้นได้สำรองสินค้าเพิ่มจากปีก่อน 10% ตามเป้า ยอดขายที่วางไว้ 2.2 แสนเครื่อง เพิ่มจากปีก่อนที่มียอดขาย 2 แสนเครื่อง เช่นเดียวกับทีมติดตั้งที่เพิ่มต่อเนื่อง
นอกจากนี้เพื่อรับกับการรับโพซิชั่นใหม่ บริษัทเร่งพัฒนาสินค้าที่มีฟังก์ชั่นสมาร์ท และสินค้า-บริการสุขภาพออกมาอย่าง ต่อเนื่องในช่วง 3-5 ปีจากนี้ อย่างการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน เช่น เครื่องกรองน้ำที่สามารถดูคุณภาพน้ำผ่านแอป บนสมาร์ทโฟนได้ ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวช่วงกลางปี 2564 และจะยังมีสินค้ากลุ่มอื่น ๆ ตามมาอีก หลังจากก่อนหน้านี้เปิดตัวเครื่องล้างผักและผลไม้รุ่น OZONIZER ไปแล้ว
พร้อมกันนี้มุ่งนำเสนอโซลูชั่นจัดการคุณภาพน้ำในอาคารให้กับกลุ่มเจ้าของอาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม และโรงแรม เพื่อรับกระแสความสนใจด้านความปลอดภัย เพื่อเพิ่มรายได้จากฝั่งลูกค้าองค์กรซึ่งลดลงไปเล็กน้อยในช่วงครึ่งปีแรกตามการชะลอตัวของตลาดอสังหาฯ
ด้านเครื่องฟอกอากาศ เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่มักมีดีมานด์สูงช่วงหน้าหนาวนั้น กรรมการผู้จัดการมาซูม่า กล่าวว่า ปีนี้เครื่องฟอกอากาศอาจเติบโตประมาณ 5% เท่านั้น ต่ำกว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากความนิยมที่สูงต่อเนื่องน่าจะทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากมีสินค้าในครอบครองแล้ว ขณะเดียวกันการแข่งขันยังสูงเพราะมีคู่แข่งจำนวนมาก ในแบรนด์ ฮันนี่เวล จึงยังไม่มีสินค้าใหม่ แต่จะโฟกัสการย้ำจุดขายเรื่องเทคโนโลยีเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และจูงใจผู้บริโภคเป็นหลัก ส่วนเครื่องฟอกอากาศแบรนด์มาซูม่าเองเปิดตัวรุ่น พกพา พร้อมจุดขายด้านนวัตกรรมเฉพาะตัวที่ใช้สลายสารพิษในอากาศ มั่นใจว่าด้วยกลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้แต่ละกลุ่มสินค้ามีการเติบโตพร้อม ๆ กัน และทำให้รายได้รวมปี 2563 จะสามารถเติบโตได้อย่างน้อย 5% ตามเป้าที่ วางไว้